วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

จัดอันดับ 4 อันดับสื่อการเรียนภาษาอังกฤษ

      ก่อนอื่นต้องบอกเลยนะครับว่าผมได้ผ่านการเรียนมาด้วยตนเองหรือที่เรียกว่า self-studying มาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวิธีการที่ผมเบื่อที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษคือ เรียนในหนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษ (textbook) ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับเรียนในหนังสือแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าครับมันก็ง่วงนอนอยู่เหมือนกันถ้าอ่านไปนานๆ เพราะมันขาดซึ่งอารมณ์ สิ่งกระตุ้น ความตื่นเต้น มีแต่ทำแบบฝึกหัด ทำข้อสอบ ท่อง Grammar ซึ่งมันอาจใช้ได้ดีในการสอบแข่งขัน แต่ถ้านำมาประประยุกต์ใช้ในการใช้ในการพูดภาษาอังกฤษจริงๆแล้วเนี่ย แทบจะไม่เห็นผลลัพธ์ของมันเลย แล้วอะไรคือสื่อหรือรูปแบบการเรียนที่ดีที่สุดล่ะ? ผมบอกแน่นอนครับไม่งั้นผมจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาทำไม (^_^) เอาล่ะครับเรามาดูการจัดอันดับ 4 สื่อการเรียนที่ดีที่สุด 



1. เรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง (Native speaker)

= นี่คือการเรียนที่ผมคิดว่าได้ผลดีที่สุดทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว ผมเคยมีอยู่ช่วงนึงได้ไปเรียนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาเป็นเวลา 8 เดือน ซึ่งมันได้ช่วยให้ภาษาอังกฤษผมดีขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย การเรียนกับเจ้าของภาษาเราจะได้การฟังที่ดีขึ้นมามากซึ่งมันเป็นจุดบอดของคนที่เอาแต่เรียนในตำรา หรือ หนังสือ อย่างเดียว การเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรงคุณจะดูดซับเอาสำเนียงเขา (อาจจะไม่มากถ้าเรียนในระยะเวลาสั้นเกินไป) และคุณจะพูดได้เร็วขึ้นโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดเรียงประโยคในหัวสมอง (เป็นกันแทบจะทุกคน)  ซึ่งจะช่วยได้มากในการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณ เมื่อคุณคุ้นเคยกับการฟัง การพูด เป็นภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนของคุณจะมีความสนุกมากยิ่งขึ้น และพัฒนาไปได้ไวกว่าเดิม ถ้าคุณได้เรียนกับเข้าของภาษาเป็นระยะเวลานานพอที่จะดูดซับสำเนียงเขาไว้ได้ทั้งหมด (2-4 ปี) เวลาคุณอ่านหนังสือภาษาอังกฤษคุณจะไม่ได้อ่านในใจแบบสำเนียงภาษาไทย คุณจะอ่านในใจแบบสำเนียงภาษาอังกฤษ ซึ่งดูดีกว่ากันมาก...

ข้อดี เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ได้ทั้งสำเนียงการพูดและการฟัง (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนภาษา) ได้เรียนคำศัพท์ที่เจ้าของภาษาใช้บ่อยๆในชีวิตประจำวัน (ไม่ใช่ศัพท์ที่ยากๆเว่อร์ๆแต่แทบจะไม่ได้ใช้พูดหรือเขียนในชีวิตประจำวันเลย)

ข้อเสีย มีราคาแพง ถ้าเป็นผู้เรียนระดับเริ่มต้นอาจจะต้องอดทนหน่อยในช่วงแรกที่เรียน เพราะอาจจะตามไม่ทัน และฟังยังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้เริ่มต้นจะต้องเรียนเป็นระยะเวลานานพอ ที่จะเห็นผลลัพธ์
 



2. เรียนผ่าน Audio หรือ เทปบันทึกเสียง

= นี่เป็นอีกวิธีการนึงซึ่งได้ผลดีมากรองลงมาจากการเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง ซึ่งในประเทศไทยเราอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสแบบนั้น และถ้าจะจ้างเจ้าของภาษามาสอนก็จะมีราคาที่สูง (ขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 300 บาท ขึ้นไป) การเรียนผ่าน Audio ที่ได้ผลจะต้อง เลือกใช้ Audio ที่มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับระดับภาษาของเรา การเรียนแบบนี้ข้อดีคือ สะดวกสบาย เรียนที่ไหนก็ได้ และที่สำคัญ คุณสามารถเปิด Audio กลับไปกลับมาหลายๆรอบจน สำเนียงของเจ้าของภาษาฝังลึกเข้าไปในหัวสมอง จนเวลาคุณพูดมันเหมือนไหลออกมาจากปากของคุณ ทำให้คุณพูดโต้ตอบภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและมีสำเนียงที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเรียนผ่าน Audio นั้นถือว่าได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

ข้อดี ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่กระทั่งตอนอาบน้ำหรือตอนนอน ได้ผลดีมาก รองลงมาจากเรียนกับเจ้าของภาษา


ข้อเสีย ต้องวางแผนการเรียนดีๆ เพราะมันจะเกิดอาการ "ผัดวันประกันพรุ่ง" เนื่องจากเราเป็นคนกำหนดเวลาเรียนเอง และ Audio มันตอบคำถามเราไม่ได้ เวลาเราฟังคำไหนไม่รู้เรื่องเราบอกให้มันพูดช้าๆไม่ได้(ได้แค่ฟังซ้ำ) และเมื่อมีคำถามเราก็ต้องค้นหาด้วยตัวเอง




3. การดูหนังฝรั่ง(พร้อมซับไตเติ้ล)

= นี่ก็เป็นอีกวิธีนึงที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง(ในหนัง) ซึ่งการที่จะใช้วิธีนี้ได้ผลนั้นคุณต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษพอสมควร ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่เรียนด้วย Audio มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร แล้วเกิดอาการเบื่อขึ้นมาอยากจะมาลองของใหม่ >_< ซึ่งการดูหนังฝรั่งพร้อมซับไตเติ้ลนั้นควรดูอย่างถูกวิธีไม่ใช่เปิดดูหนังแล้วเอาแต่อ่านแต่ซับไตเติ้ล ถ้าเป็นอย่างงั้นจะทำให้เราพลาดฉากสำคัญ หรือรายละเอียดเล็กๆน้อย ซึ่งอาจจะเป็นจุดสำคัญในการเข้าใจเนื้อเรื่องและตัวละครว่าต้องการจะสื่ออะไร ซึ่งผมจะบอกวิธีการดูหนังฝรั่งและการเปิดซับไตเติ้ลอย่างถูกวิธีในหนังสือ "The enjoyable way to learn English" ซึ่งการหาหนังฝรั่งที่มีซับไตเติ้ลไทยนั้นบางทีอาจได้หนังที่ไม่ถูกใจเราและหนังมีให้เลือกจำกัด

ข้อดี ทำให้การเรียนภาษามีความสนุกมากยิ่งขึ้นจากการดูหนัง สามารถได้ยินสำเนียงเจ้าของภาษา และยังสามารถซึมซับประเพณีและวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ผ่านทางหนังที่เราดู


ข้อเสีย การหาหนังฝรั่งที่มีซับไตเติ้ลไทยนั้นบางทีอาจได้หนังที่ไม่ถูกใจเราและหนังมีให้เลือกจำกัด แต่ถ้าเรามีทักษะในภาษาระดับนึงซึ่งสามารถอ่านและแปลความหมายจากภาษาอังกฤษได้ เราจะสามารถเลือกชมหนังได้หลากหลายขึ้นด้วยการหาหนังที่มีซับภาษาอังกฤษ (ซึ่งหาได้ง่ายและมีเยอะกว่าหนังที่เป็นซับไทย)



4. เรียนในหนังสือแบบเรียน (textbook)

= ถ้าคุณวางแผนว่าจะเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจะได้ใช้อย่างคล่องแคล่ว แต่คุณดันมาเรียนใน textbook ท่อง Grammar ท่องศัพท์ ทุกวัน ผมว่าคุณเลือกทางที่ผิดแล้วล่ะครับ Step การเรียนภาษามันแบ่งได้ดังนี้คือ 1.ฟัง 2.พูด 3.อ่าน 4.เขียน การที่คุณมาเรียนจากหลังไปหน้าก่อนนี่มันไม่ผิดหรอกนะครับ แต่เวลาคุณไปเรียนฟังกับพูดมันจะเรียนยากเอาน่ะสิครับ จริงอยู่ครับอันนั้นมันจำเป็นในการทำข้อสอบ แต่ถ้าคุณรักภาษาอังกฤษและต้องการที่จะคล่องแคล่วในภาษาอังกฤษจริงๆคุณต้องฝึก "ฟัง" ให้มากๆเสียก่อนครับ text book มันก็แค่ "เพื่อนพระเอก" ในการที่จะทำให้ภาษาอังกฤษเราสมบูรณ์ มีงานวิจัยบางชิ้นทำสรุปออกมาว่า คุณที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยการใช้วิธีการในข้อ 1. และข้อ 2. ทำข้อสอบ TOEIC และ TOFEL ได้ดีกว่าคนที่เอาแต่ท่องศัพท์ จำแกรมม่า ใน textbook อีกนะครับ

ข้อดี  เหมาะกับการอ่านเตรียมสอบในระยะเวลาสั้นๆ และเสริมหลักไวยากรณ์ ราคาถูก หาได้ง่ายตามท้องตลาด 


ข้อเสีย เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ค่อยน่าสนใจ ทำให้เบื่อง่าย ได้ผลไม่ค่อยดีกับการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

            สุดท้ายแล้วเราไม่ต้องเลือกเรียนเจาะจงเฉพาะอย่างใดอย่างนึง เราสามารถเรียนหลายๆวิธีร่วมกัน ซึ่งมันยิ่งจะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษของเรานั้นไม่น่าเบื่อ มีความหลากหลาย และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนจบบทความนี้ผมขอฝากไว้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษนั้น มันต้องใช้เวลา อย่าใจร้อน อย่าอารมณ์เสีย และท้อแท้ ถ้าภาษาอังกฤษเราไม่พัฒนาเท่าที่ควร บางทีเราอาจจะเลือกวิธีเรียนที่ผิดวิธี ซึ่งทำให้การเรียนภาษาอังกฤษนั้นน่าเบื่อ หรือ เราอาจจะขาดความกระตือรือร้นที่มากพอในการเรียนภาษาอังกฤษ เราจึงต้องค่อยๆหาจุดบกพร่องและแก้ไขไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะพูดกันมากขึ้นในหนังสือ "The enjoyable way to learn English" ซึ่งจะเปิดตัวในเว็บไซต์เร็วๆนี้

1 ความคิดเห็น:

  1. บอกเลยว่าหนูชอบเวบนี้มากค่ะ โชคดีจริงๆทีาได้รู้จักเว็บนี้โดยส่วนตัวหนูเป็นคนที่ชอบภาษาอกฤษอยู่แล้ว และการที่ได้มาเรียนรู้ภาษาในเว็บนี้เป็นสิ่งที่ดีมากค่ะ

    ตอบลบ