วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

Apple of one's eye คนนี้รักกที่สุดด

         ผมเชื่อว่าเราทุกคนย่อมมอบความเอาใจใส่หรือความห่วงใยให้กับคนอื่นๆไม่เท่ากัน บางทีเราให้ความใส่ใจและปฏิบัติกับคนๆนี้ดีกว่าคนอื่นๆ อย่างเช่นถ้าเรามีคนที่เรา "แอบชอบ" เราก็จะทุ่มเทให้กับเค้า คอยเอาใจใส่เค้าทุกๆเรื่อง ถึงขนาดยอมไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนเพื่อไปหาเค้าเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเรียกว่าลำเอียงก็คงจะไม่ผิดนะครับ ซึ่งวันนี้ผมก็มีสำนวนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก นั่นคือ

Apple of one's eye 

สำนวนนี้แปลว่า "คนหรือสิ่งที่เราชอบ เอ็นดู และรักมากจนเปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจ" ซึ่งเราจะใช้ประโยคนี้บอกดีกรีของความชอบและเอ็นดู (ขนาดนั้นเลย >_<) ต่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเค้าคนนั้นเปรียบเสือนบุคคลอันเป็นที่รักของเรานั่นเอง ถ้าขาดเค้าไปโลกคงแตกสลาย ฟ้าคงมืดหม่น น้ำคงท่วมโลก (เว่อร์ไปละ >_<)

ตัวอย่างการใช้

His new baby girl is the apple of his eye.
= ลูกสาวคนใหม่ของเขาคือแก้วตาดวงใจของเขา

Tom was Jim's first child and the apple of his eye.
= ทอมคือลูกคนแรกของจิมและยังเป็นแก้วตาดวงใจของจิมอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

building castles in the air เกี่ยวอะไรกับสร้างปราสาทเนี่ย

หลายคนคงเคยมีเพื่อนที่เข้าข่าย "ช่างฝัน" แต่ถ้ามากเกินไปจากมันจะกลายเป็น "เพ้อฝัน" ซึ่งวันนี้ผมก็มีสำนวนที่เหมาะกับนัก "เพ้อฝัน" นั่นก็คือ

building castles in the air

สำนวนนี้แปลว่า เพ้อฝัน หรือ คิดจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ซึ่งที่เราเรียกกันว่า "สร้างวิมานในอากาศ" นั่นเอง หลายคนได้ยินแล้วคงรู้จักทันทีว่าหมายความว่าอะไร ซึ่งในสำนวนนี้ castle แปลว่า ปราสาท นั่นเอง  แต่รู้ไหมครับถ้าคุณวางแผนและลงมือทำตามฝันที่คุณได้วาดไว้ แม้ว่าใครเค้าจะมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ขอแค่ให้เราเชื่อมั่นในฝันของตัวเอง สักวันนึงสิ่งนั้นมันจะไม่ใช่แค่ความ "เพ้อฝัน" อีกต่อไปครับ...

ตัวอย่างการใช้

I like to sit on the bench in the park in the evening, just building castles in the air.

= ฉันชอบที่จะนั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะในตอนเย็น เพียงเพื่อจะวาดฝันในอากาศ (นั่งเหม่อลอย กินบรรยากาศในสวนสาธารณะ แบบนี้ผมก็ชอบทำครับ ^_^)

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

crying over spilt milk เหตุเกิดเพราะนมหก

ครั้งนี้นะครับผมจะไม่พยายามเขียนให้มาก เอาเป็นว่าจะเขียนให้กระชับที่สุด เพื่อให้ทุกคนอ่านเข้าใจง่ายๆละกัน เมื่อพูดถึงเรื่อง "อดีตที่ผ่านไปแล้ว" ก็มีหลายคนที่พยายามจดจำแต่เรื่องราวที่ดีๆ แต่ก็มีหลายคนที่พยายามจดจำแต่เรื่องเลวร้าย ซึ่งเราจะมาพูดถึงอย่างหลังกัน กับสำนวนวันนี้

"crying over spilt milk"

นึกภาพถึงตอนที่เราทำนมหกจากแก้วดูสิครับ เพราะ split เป็นรูปอดีตของ spill แปลว่า ทำหก, ทำล้น เมื่อเราทำนมหกจากแก้วแล้ว เราก็คงหยิบมันขึ้นมาใส่แก้วเหมือนเดิมไม่ได้ แต่นี่จะมาร้องไห้เสียใจกับนมที่หกไปแล้วก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นมา 

สำนวนนี้จึงแปลว่า "การเสียใจให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือ สิ่งที่แก้ไขไม่ได้"

ตัวอย่างการใช้

I just broke up with my girlfeirnd. But I'm not going to cry over spilt milk.

= ผมพึ่งเลิกกับแฟนสาว แต่ผมจะไม่เสียใจให้กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้หรอกนะ 


What's done is done. I'm not going to cry over spilt milk.

= อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็แล้วไป ฉันจะไม่เสียใจให้กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้หรอกนะ


วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

จัดอันดับ 4 อันดับสื่อการเรียนภาษาอังกฤษ

      ก่อนอื่นต้องบอกเลยนะครับว่าผมได้ผ่านการเรียนมาด้วยตนเองหรือที่เรียกว่า self-studying มาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวิธีการที่ผมเบื่อที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษคือ เรียนในหนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษ (textbook) ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับเรียนในหนังสือแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าครับมันก็ง่วงนอนอยู่เหมือนกันถ้าอ่านไปนานๆ เพราะมันขาดซึ่งอารมณ์ สิ่งกระตุ้น ความตื่นเต้น มีแต่ทำแบบฝึกหัด ทำข้อสอบ ท่อง Grammar ซึ่งมันอาจใช้ได้ดีในการสอบแข่งขัน แต่ถ้านำมาประประยุกต์ใช้ในการใช้ในการพูดภาษาอังกฤษจริงๆแล้วเนี่ย แทบจะไม่เห็นผลลัพธ์ของมันเลย แล้วอะไรคือสื่อหรือรูปแบบการเรียนที่ดีที่สุดล่ะ? ผมบอกแน่นอนครับไม่งั้นผมจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาทำไม (^_^) เอาล่ะครับเรามาดูการจัดอันดับ 4 สื่อการเรียนที่ดีที่สุด 



1. เรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง (Native speaker)

= นี่คือการเรียนที่ผมคิดว่าได้ผลดีที่สุดทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว ผมเคยมีอยู่ช่วงนึงได้ไปเรียนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาเป็นเวลา 8 เดือน ซึ่งมันได้ช่วยให้ภาษาอังกฤษผมดีขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย การเรียนกับเจ้าของภาษาเราจะได้การฟังที่ดีขึ้นมามากซึ่งมันเป็นจุดบอดของคนที่เอาแต่เรียนในตำรา หรือ หนังสือ อย่างเดียว การเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรงคุณจะดูดซับเอาสำเนียงเขา (อาจจะไม่มากถ้าเรียนในระยะเวลาสั้นเกินไป) และคุณจะพูดได้เร็วขึ้นโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดเรียงประโยคในหัวสมอง (เป็นกันแทบจะทุกคน)  ซึ่งจะช่วยได้มากในการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณ เมื่อคุณคุ้นเคยกับการฟัง การพูด เป็นภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนของคุณจะมีความสนุกมากยิ่งขึ้น และพัฒนาไปได้ไวกว่าเดิม ถ้าคุณได้เรียนกับเข้าของภาษาเป็นระยะเวลานานพอที่จะดูดซับสำเนียงเขาไว้ได้ทั้งหมด (2-4 ปี) เวลาคุณอ่านหนังสือภาษาอังกฤษคุณจะไม่ได้อ่านในใจแบบสำเนียงภาษาไทย คุณจะอ่านในใจแบบสำเนียงภาษาอังกฤษ ซึ่งดูดีกว่ากันมาก...

ข้อดี เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ได้ทั้งสำเนียงการพูดและการฟัง (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนภาษา) ได้เรียนคำศัพท์ที่เจ้าของภาษาใช้บ่อยๆในชีวิตประจำวัน (ไม่ใช่ศัพท์ที่ยากๆเว่อร์ๆแต่แทบจะไม่ได้ใช้พูดหรือเขียนในชีวิตประจำวันเลย)

ข้อเสีย มีราคาแพง ถ้าเป็นผู้เรียนระดับเริ่มต้นอาจจะต้องอดทนหน่อยในช่วงแรกที่เรียน เพราะอาจจะตามไม่ทัน และฟังยังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้เริ่มต้นจะต้องเรียนเป็นระยะเวลานานพอ ที่จะเห็นผลลัพธ์
 



2. เรียนผ่าน Audio หรือ เทปบันทึกเสียง

= นี่เป็นอีกวิธีการนึงซึ่งได้ผลดีมากรองลงมาจากการเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง ซึ่งในประเทศไทยเราอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสแบบนั้น และถ้าจะจ้างเจ้าของภาษามาสอนก็จะมีราคาที่สูง (ขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 300 บาท ขึ้นไป) การเรียนผ่าน Audio ที่ได้ผลจะต้อง เลือกใช้ Audio ที่มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับระดับภาษาของเรา การเรียนแบบนี้ข้อดีคือ สะดวกสบาย เรียนที่ไหนก็ได้ และที่สำคัญ คุณสามารถเปิด Audio กลับไปกลับมาหลายๆรอบจน สำเนียงของเจ้าของภาษาฝังลึกเข้าไปในหัวสมอง จนเวลาคุณพูดมันเหมือนไหลออกมาจากปากของคุณ ทำให้คุณพูดโต้ตอบภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและมีสำเนียงที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเรียนผ่าน Audio นั้นถือว่าได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

ข้อดี ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่กระทั่งตอนอาบน้ำหรือตอนนอน ได้ผลดีมาก รองลงมาจากเรียนกับเจ้าของภาษา


ข้อเสีย ต้องวางแผนการเรียนดีๆ เพราะมันจะเกิดอาการ "ผัดวันประกันพรุ่ง" เนื่องจากเราเป็นคนกำหนดเวลาเรียนเอง และ Audio มันตอบคำถามเราไม่ได้ เวลาเราฟังคำไหนไม่รู้เรื่องเราบอกให้มันพูดช้าๆไม่ได้(ได้แค่ฟังซ้ำ) และเมื่อมีคำถามเราก็ต้องค้นหาด้วยตัวเอง




3. การดูหนังฝรั่ง(พร้อมซับไตเติ้ล)

= นี่ก็เป็นอีกวิธีนึงที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง(ในหนัง) ซึ่งการที่จะใช้วิธีนี้ได้ผลนั้นคุณต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษพอสมควร ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่เรียนด้วย Audio มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร แล้วเกิดอาการเบื่อขึ้นมาอยากจะมาลองของใหม่ >_< ซึ่งการดูหนังฝรั่งพร้อมซับไตเติ้ลนั้นควรดูอย่างถูกวิธีไม่ใช่เปิดดูหนังแล้วเอาแต่อ่านแต่ซับไตเติ้ล ถ้าเป็นอย่างงั้นจะทำให้เราพลาดฉากสำคัญ หรือรายละเอียดเล็กๆน้อย ซึ่งอาจจะเป็นจุดสำคัญในการเข้าใจเนื้อเรื่องและตัวละครว่าต้องการจะสื่ออะไร ซึ่งผมจะบอกวิธีการดูหนังฝรั่งและการเปิดซับไตเติ้ลอย่างถูกวิธีในหนังสือ "The enjoyable way to learn English" ซึ่งการหาหนังฝรั่งที่มีซับไตเติ้ลไทยนั้นบางทีอาจได้หนังที่ไม่ถูกใจเราและหนังมีให้เลือกจำกัด

ข้อดี ทำให้การเรียนภาษามีความสนุกมากยิ่งขึ้นจากการดูหนัง สามารถได้ยินสำเนียงเจ้าของภาษา และยังสามารถซึมซับประเพณีและวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ผ่านทางหนังที่เราดู


ข้อเสีย การหาหนังฝรั่งที่มีซับไตเติ้ลไทยนั้นบางทีอาจได้หนังที่ไม่ถูกใจเราและหนังมีให้เลือกจำกัด แต่ถ้าเรามีทักษะในภาษาระดับนึงซึ่งสามารถอ่านและแปลความหมายจากภาษาอังกฤษได้ เราจะสามารถเลือกชมหนังได้หลากหลายขึ้นด้วยการหาหนังที่มีซับภาษาอังกฤษ (ซึ่งหาได้ง่ายและมีเยอะกว่าหนังที่เป็นซับไทย)



4. เรียนในหนังสือแบบเรียน (textbook)

= ถ้าคุณวางแผนว่าจะเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจะได้ใช้อย่างคล่องแคล่ว แต่คุณดันมาเรียนใน textbook ท่อง Grammar ท่องศัพท์ ทุกวัน ผมว่าคุณเลือกทางที่ผิดแล้วล่ะครับ Step การเรียนภาษามันแบ่งได้ดังนี้คือ 1.ฟัง 2.พูด 3.อ่าน 4.เขียน การที่คุณมาเรียนจากหลังไปหน้าก่อนนี่มันไม่ผิดหรอกนะครับ แต่เวลาคุณไปเรียนฟังกับพูดมันจะเรียนยากเอาน่ะสิครับ จริงอยู่ครับอันนั้นมันจำเป็นในการทำข้อสอบ แต่ถ้าคุณรักภาษาอังกฤษและต้องการที่จะคล่องแคล่วในภาษาอังกฤษจริงๆคุณต้องฝึก "ฟัง" ให้มากๆเสียก่อนครับ text book มันก็แค่ "เพื่อนพระเอก" ในการที่จะทำให้ภาษาอังกฤษเราสมบูรณ์ มีงานวิจัยบางชิ้นทำสรุปออกมาว่า คุณที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยการใช้วิธีการในข้อ 1. และข้อ 2. ทำข้อสอบ TOEIC และ TOFEL ได้ดีกว่าคนที่เอาแต่ท่องศัพท์ จำแกรมม่า ใน textbook อีกนะครับ

ข้อดี  เหมาะกับการอ่านเตรียมสอบในระยะเวลาสั้นๆ และเสริมหลักไวยากรณ์ ราคาถูก หาได้ง่ายตามท้องตลาด 


ข้อเสีย เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ค่อยน่าสนใจ ทำให้เบื่อง่าย ได้ผลไม่ค่อยดีกับการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

            สุดท้ายแล้วเราไม่ต้องเลือกเรียนเจาะจงเฉพาะอย่างใดอย่างนึง เราสามารถเรียนหลายๆวิธีร่วมกัน ซึ่งมันยิ่งจะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษของเรานั้นไม่น่าเบื่อ มีความหลากหลาย และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนจบบทความนี้ผมขอฝากไว้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษนั้น มันต้องใช้เวลา อย่าใจร้อน อย่าอารมณ์เสีย และท้อแท้ ถ้าภาษาอังกฤษเราไม่พัฒนาเท่าที่ควร บางทีเราอาจจะเลือกวิธีเรียนที่ผิดวิธี ซึ่งทำให้การเรียนภาษาอังกฤษนั้นน่าเบื่อ หรือ เราอาจจะขาดความกระตือรือร้นที่มากพอในการเรียนภาษาอังกฤษ เราจึงต้องค่อยๆหาจุดบกพร่องและแก้ไขไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะพูดกันมากขึ้นในหนังสือ "The enjoyable way to learn English" ซึ่งจะเปิดตัวในเว็บไซต์เร็วๆนี้

blind faith ไม่ลืมหูลืมตา

เคยไหมครับ เมื่อเรา "ชอบ" และ "ศรัทธา" ในตัวใครมากๆ เราก็แทบจะเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูด ถึงแม้ว่าจะมีคนมาพูดว่าเขาไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ซึ่งถึงแม้เขาอาจจะเป็นผู้หวังดีมาบอกความจริง แต่ขอแค่เพียงคนที่เราศรัทธา เอ่ยปากแก้ตัวขึ้นมาเราก็ปักหลักเชื่ออย่างหมดใจ เชื่อจนกระทั่งความจริงที่มันประจักษ์อยู่ตรงหน้าแต่เราก็ยังไม่เห็น...วันนี้ผมจะมาเสนอประโยคที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ


"blind faith"

ประโยคนี้นะครับ แปลว่า "การเชื่อบางสิ่งอย่างลืมหูลืมตา เชื่อโดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน" ซึ่งเอาไว้ใช้กับหลากหลายสถานการณ์ เช่น นายทิมนั้นเชื่อเกี่ยวกับหมอดูอย่างไม่ลืมหูลืมตา Tim has blind faith in prophet. ซึ่ง Prophet เป็นคำนาม แปลว่า หมอดู และ Faith เป็นคำนาม แปลว่า ความเชื่อ ความศรัทธา

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

Tom has blind faith in aliens. He doesn't care if there is any physical evidence or not.

= ทอมนั้นมีความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาเกี่ยวกับเอเลี่ยน เขาไม่สนใจว่ามันจะมีหลักฐานทางกายภาพหรือไม่ก็ตาม (ก็เค้าจะเชื่อง่ะ มีหรือไม่มีหลักฐานเค้าก็จะเชื่อ >_<)


วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

wolf in disguise หมาป่าเจ้าเล่ห์

ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งมี "หมาป่า" ที่เจ้าเล่ห์อยู่ตัวนึงซึ่งหิวโหยจากการที่ต้องเดินทางข้ามภูเขามายังแหล่งน้ำ แล้วได้บังเอิญมาเจอกับ "กระต่าย" ตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยูใกล้แหล่งน้ำ ทันใดนั้นด้วยความเจ้าเล่ห์ของหมาป่ามันจึงคิดถึงแผนการที่จะจับกระต่ายกินเป็นอาหาร และในหัวของมันกำลังคิดว่า "เราจะหลอกล่อเจ้ากระต่ายตัวนี้ยังไงดีนะ"... ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ยเพราะผมอยากนำเสนอสำนวนซึ่งมี "หมาป่า" อยู่ในประโยคด้วย นั่นก็คือ

 wolf in disguise 

คำว่า disguise หมายถึง ปลอมแปลง ปิดบัง ซึ่งเมื่อมาอยู่หลัง wolf ที่แปลว่า หมาป่า จึงให้ความหมายคร่าวๆว่า การปลอมแปลง/ปิดบังของหมาป่า ซึ่งถ้าเอามาใช้กับคนเราในชีวิตประจำวัน ประโยคนี้จะแปลว่า "เจ้าเล่ห์" หรือ "หน้าไหว้หลังหลอก" อารมณ์ประมาณว่า ต่อหน้าเรานั้นทำดี แต่เบื้องหลังนั้นแอบแฝงไปด้วยอันตราย

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

My neighbour is a wolf in disguise. He helped me cleaning my room, but he also stole the money in there.
= เพื่อนบ้านของฉันนั้นมันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เขาช่วยฉันทำความสะอาดห้องของฉัน แต่เขากลับขโมยเงินในห้องของฉันไปซะงั้น

 

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

lose one's shirt ต้องเสียแม้กระทั่งเสื้อที่ใส่อยู่

เมื่อพูดถึงเครื่องแต่งกาย "เสื้อ" เนี่ยก็เหมือนสิ่งที่เราขาดไม่ได้ตอนออกไปข้างนอกนะครับ (แหม่...ใครล่ะจะไม่ใส่เสื้อตอนออกไปข้างนอก) วันนี้ผมก็จะมานำเสนอที่มี "เสื้อ" หรือ "shirt" มาเกี่ยวด้วย นั่นก็คือ

lose one's shirt

 กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...สมชายได้เดินทางไปยัง Las Vegas ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่นะครับถ้าไปที่นั่นแล้วไม่เข้า "คาสิโน" ก็เหมือนเราไปไม่ถึงที่นั่น ซึ่งก็ตามคาดครับสมชายได้เข้าไปยังคาสิโนแห่งหนึ่ง เพื่อเล่นการพนัน (คงไม่ได้เข้าบ่อนเพื่อไปเล่นเป่ากบหรอกนะ - -*) หลังจากสมชายเล่นพนันไปได้สักพัก เค้าก็เกิดเสียเงินติดต่อกันหลายๆครั้ง จนสมชายนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า "หมดตูด" ซึ่งประโยค lose one's shirt นี่ล่ะครับ แปลว่า to lose a lot of money or to lose all of one's assets หรือ การที่ใครสักคนเสียเงินเป็นจำนวนมาก หรือ เสียทรัพย์สินทั้งหมดที่เค้ามี... ซึ่งมันก็เป็นการเปรียบเทียบเหมือนกับว่า เขาเสียเงินจำนวนมากจนกระทั่งเขาแทบจะต้องเสียเสื้อที่เขาสวมใส่ไปด้วย นั่นเองครับ

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

I almost lost my shirt on that deal.
= ฉันเกือบจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก (หมดตูด) ไปกับการเดิมพันนั่น

หรือเราสามารถใช้ตอนที่เพื่อนเราขอยืมเงินแต่เราก็ไม่มีเหมือนกัน (ไม่อยากให้ยืม) เช่น

I can't loan you 100 bahts because I just lost my shirt on the soccer bet.
= ฉันไม่สามารถให้เธอยืมเงิน 100 บาทได้หรอกนะ  เพราะฉันก็เกือบจะหมดตูดกับการเดิมพันฟุตบอล (พนันบอลนั่นเอง



 

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

up to one's neck ยุ่งจนหายใจแทบไม่ทันเลยทีเดียว

เมื่อเราอยู่ใน "สถานการณ์ที่ยากลำบาก" ซึ่งมีแรงกดดันต่างๆเข้ามารุมเร้า อย่างเช่นในที่ทำงาน เมื่ออยู่ๆเจ้านายก็เกิดอารมณ์แปรปรวน (อาจจะเป็นเพราะพิษการเมือง) สั่งลูกน้องให้ไปทำโปรเจคใหม่ประจำปี แถมยังบอกว่าส่งภายในสัปดาห์นี้ (ปกติทำโปรเจคใหม่เป็นเดือนก็ยังไม่เสร็จเลย) ไม่งั้นจะพิจารณาไม่ให้ขึ้นเงินเดือน และอดโบนัสปีนี้...พอลูกน้องอย่างพวกผมได้ยินเข้าเท่านั้นล่ะครับ ร้องโหยหวนเหมือนโดนข้าวสารเสกปาใส่เลยทีนี้ (คนนะไม่ใช่ผี >_<) โปรเจคยักษ์ใหญ่กับลูกน้องในแผนกไม่ถึง 5 คน จะทำเสร็จไหมเนี่ยย >_< ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะผมจะนำเสนอประโยคนี้

up to one's neck หรือ up to (ใครสักคน) neck

ต่อจากเรื่องที่หัวหน้างานสั่งงานโปรเจคใหม่ให้ลูกน้องทำ พร้อมกับบอกว่าส่งวันพรุ่งนี้...ลูกน้องอย่างผมกับเพื่อนไม่ถึง 5 คนเนี่ยต้องพากันมาประชุมกันที่ร้านขายปิ้งไก่ข้างล่างตึก มีรุ่นน้องคนนึงบอกว่าทางเดียวที่จะทำให้โปรเจคนี้เสร็จคือต้อง "ทำงานทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก" บ้านช่องไม่ต้องกลับกันแล้ว เพราะฉะนั้น  "หืดขึ้นคอแน่งานนี้"  และนี่ล่ะครับคือความหมายของประโยคนี้ (สร้างเรื่องมาตั้งยาวเพื่อจะบอกแค่นี้ 55+) ซึ่งประโยคนี้แปลว่า "อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือ ยุ่งมากๆ" เอาไว้ใช้ในสถานการณ์ที่เราต้องเจอหรือทำในสิ่งที่ยากลำบาก

ตัวอย่างการใช้ประโยค

I'm up to my neck in homework.
= ผมกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการบ้าน

She's up to her neck in final-exam which is coming soon.
= เธอกำลังวุ่นวายอยู่กับการสอบไฟนอลซึ่งจะมาถึงเร็วนี้ๆ

ถ้า "หืดขึ้นคอ" ก็ต้องพ่นยาขยายหลอดลมกันนะค้าบบ  (คนละความหมายแล้ว >_<)...เรามีภาพสาธิตการพ่นยามาให้ดูโดยนายแบบระดับมืออาชีพ 55+


วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

open old wounds แผลเก่าที่กลับมาทำร้ายเราอีกครั้ง

เมื่อพูดถึง "รักครั้งแรก" มันช่างเป็นความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของใครหลายๆคน ใครล่ะจะลืมลง...จริงไหมครับ ยิ่งถ้ารักครั้งแรกของเรานั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่เลวร้าย มันก็จะกลายเป็นแผลในหัวใจของเรา ยากที่จะลืมเลือน...เมื่อเวลาผ่านไปนานจนเราไม่ใส่ใจแล้ว แต่อยู่มาวันนึงเราก็ได้เจอกับคนที่เคยเป็นรักแรกของเราอีกครั้ง และเค้าก็จูงมือมากับแฟนใหม่ด้วย (โหยย...เอาปืนมายิงดีกว่า) เห็นแล้วมันเจ็บจี๊ดด...เหมือนเอามีดมากรีดแผลที่เคยหายดีแล้ว คราวนี้ความทรงจำเก่าๆที่ไม่อยากจะจดจำก็หวนกลับมาอย่างรวดเร็ว....แหม่ มาแนวน้ำเน่าเลยนะเนี่ย 555+ ใช่แล้วครับครั้งนี้ผมก็จะมาเสนอประโยคเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ


open old wounds หรือ reopen old wounds

ในประโยคนี้ Wound (วูนดฺ) แปลว่า บาดแผล รู้ยังงี้แล้วหลายคนคงพอจะเดาความหมายออกแล้วใช่ไหมครับ...ซึ่งประโยคนี้แปลว่า "การทำให้ใครสักคนจำเรื่องเก่าๆที่ไม่น่าประทับใจในอดีต" หรือที่เราเรียกกันว่า "สะกิดแผลเก่า" นั่นเองครับ ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากจะโดนสะกิดแผลเก่ากันหรอกมั้งครับ เอ๊ะ...หรือว่ามีน๊าา พวกที่ชอบเก็บเอาเรื่องในอดีตที่ไม่ดี มาทำร้ายตัวเองเนี่ยย ถ้าใครเป็นอยู่ก็ควรหยุดซะนะครับ อดีตที่มันไม่ดี ไม่น่าจดจำ ก็ปล่อยมันไป สู้เอาเวลามาวางแผนอนาคต ทำในสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขดีกว่า ^_^ สู้ สู้!

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

Sara said something that opening Mike's old wounds which is about his ex-girlfriend, so Mike left her room immediately.

= ซาร่าพูดบางสิ่งที่ไปสะกิดแผลเก่าของไมค์ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องแฟนเก่าของเขา ดังนั้นไมค์จึงออกจากห้องของเธอทันที




วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

kiss and tell ความลับของคนสองคน

เมื่อเรากำลัง "คบกับใครสักคน" และความสัมพันธ์ก็กำลังเป็นไปได้สวย ช่วงเวลานั้นเราก็คงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบเป็นสีชมพู แต่พอมาวันหนึ่งแฟนเก่าของคุณดันโผล่มาจากไหนไม่รู้ (สงสัยแอบสะกดรอยตามมาเหมือนในหนัง >_< ) แล้วเอ่ยปากบอกแฟนคนปัจจุบันที่คุณกำลังเดินจับมืออยู่ตอนนั้น เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของหล่อนกับคุณเมื่อวันวาน...ทั้งเรื่องบนที่นอน และเรื่องบนโซฟา (ผมรู้ว่าคุณคงจะเข้าใจว่าผมสื่ออะไร :P) โลกที่เมื่อ 5 นาทีก่อนเป็นสีชมพู ตอนนี้อาจเป็นสีแดง(เดือด) สำหรับคุณไปโดยปริยาย ฮ่าา....เล่ามาซะยาวเพราะผมจะนำเสนอประโยคที่เกี่ยวกับการบอกความลับแบบนี้ นั่นก็คือ

Kiss and tell
  
ลองนึกภาพถึงการที่เรา "จูบ" ใครสักคน และพอจูบเสร็จก็เอาเรื่องนี้ไป "บอก" ชาวบ้านเค้าไปทั่ว... ดังนั้นประโยคนี้จึงแปลว่า การเผยความลับของบางคนที่คุณรู้จักลึกซึ่ง หรือ เป็นแฟนกัน แก่ผู้อื่น แบบชนิดที่ว่าละเอียดยิบไปจนถึงเรื่องบนเตียง ซึ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ยินยอม และถ้ายิ่งอีกฝ่ายมาได้ยินเข้า ก็คงจะต้องไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนมากแล้วประโยคนี้จะไว้ใช้กับการที่เปิดเผยข้อมูลของคนที่มีชื่อเสียง เช่น แฟนเก่าของดาราคนหนึ่งออกมาเปิดเผยความสัมพันธ์ว่าเคยคบกันมาหลายสิบปี ตั้งแต่อยู่ชั้นอนุบาล ก่อนที่จะเลิกกันเมื่อวานนี้เอง (คบกันนานไปไหม >_<)

ตัวอย่างการใช้

Laura, the famous singer's ex-girlfriend, was paid 100,000 Bahts by a gossip magazine to kiss and tell.

 = ลอร่าซึ่งเป็นอดีตแฟนสาวของนักร้องที่มีชื่อเสียงได้รับเงินหนึ่งแสนบาทจากทางนิตยสารซุบซิบดาราเพื่อแลกกับการเปิดเผยความสัมพันธ์ของเธอกับนักร้องคนนั้น

  

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

I wouldn't wish that on my worst enemy แปลว่าอะไร

เมื่อพูดถึงคนที่เรา "ไม่ชอบหน้า" หลายครั้งเวลาเราคุยกับคนที่เราไม่ชอบหน้าเนี่ย เราก็มักจะไม่ค่อยสบอารมณ์ตอนเวลาคุยสักเท่าไหร่ และถ้ามันยิ่งชอบหาเรื่องเราแล้วด้วยเนี่ย แหม...มันน่าใช้ฝ่ามือปิศาจ(เว่อร์ไปไหม...) ตบให้หน้าคว่ำไปเลย...แต่มันก็มีบางอย่างนะครับที่มันเลวร้ายสุดๆถึงแม้กับคนที่เราไม่ชอบหน้ามากๆเราก็ยังไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย...ใช่แล้วครับ! วันนี้ผมก็มีประโยคเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากทุกคนกันนั่นก็คือ

I wouldn't wish that on my worst enemy.

= ประโยคนี้ให้ความหมายว่า "ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้กระทั่งกับศัตรูที่แย่ที่สุดของฉัน" หรือเราจะใช้  I wouldn't wish that on a dog. (แปลว่า ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้กระทั่งกับสุนัข) ก็ได้ครับ ให้ความรู้สึกคล้ายๆกันเลย เผลอๆเห็นภาพชัดกว่าด้วย ซึ่งประโยคนี้จะคล้ายๆการอุทานออกมานะครับ ใช้เมื่อเราเจอเหตุการณ์ร้ายๆจนแบบว่า เรารับไม่ได้! อย่างเช่นในสถานการณ์นี้---เฮ้ยยเพื่อนแกคนนั้น...โดนลูกฟุตบอลอัดเข้าที่กล่องดวงใจของมัน มันคงจะเจ็บมากเลย ฉันแทบจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้แต่กับคนที่ฉันเกลียดที่สุดเลยว่ะ (ที่จริงแล้วไอ้คนที่พูดน่ะมันอยากให้เกิดขึ้นเป็นแน่แท้ >_<)

ตัวอย่างการใช้ประโยค

He was cut his finger hand by his father!! I wouldn't wish that on my worst enemy.
 
= เขาถูกตัดนิ้วมือโดยพ่อของเค้า (โดนตัดนิ้วเลยหรอเนี่ยย โหดเกิ๊นน!!) ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้กระทั่งกับคนที่ฉันเกลียดที่สุดเลย...

อันนี้เป็นรูปของน้องหมีที่ฝรั่งเค้าทำล้อเลียนนะครับ แปลได้ว่า ทุกครั้งที่ฉันพูดว่า ฉันแทบจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้แต่กับคนที่ฉันเกลียดที่สุดเลย ที่จริงแล้วน่ะ ฉันหวังให้มันเกิดขึ้นจริงๆ >_<

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

Brain freeze เป็นกันบ่อยตอนกินไอติม


เมื่อนึกถึงของเย็นจัดๆ ซึ่งเหมาะกับฤดูร้อน อย่างเช่น "ไอติม" หลายคนก็คงจะน้ำลายไหลกันเป็นแถบๆ >_< ซึ่งผมคิดว่าส่วนใหญ่เรามักจะไม่ค่อยสนใจว่าตอนนี้จะเป็นฤดูไหน ขอแค่มีรถไอติม...(นึกถึงสมัยเป็นเด็กน้อย) หรือ ร้านไอติมอยู่ใกล้ๆจุดที่เราอยู่แล้วเนี่ย ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเดินเข้าไปซื้อไอติมมากิน ยิ่งที่ไปกับเพื่อนหรือคนที่เรารักด้วยแล้วเนี่ย พากันเข้าไปซื้อไอติมมากินด้วยกัน มันช่างมีความสุขสุดๆ (^w^) แล้วเมื่อพูดถึงของเย็นๆอย่างไอติมแล้วแล้วเนี่ยวันนี้ผมก็เลยมีคำที่น่าสนใจมาเสนอทุกคนเอาซึ่งเอาไว้พูดตอนกินไอติมได้ :P นั่นคือ


Brain freeze

ซึ่ง Brain freeze นั้นก็คืออาการที่เรากินของเย็นจัดๆอย่างเช่น ไอติม เข้าไปแล้วเกิดอาการปวดหัวฉับพลัน หรือที่บ้านเราเรียกว่า "เย็นจนขึ้นสมอง" นั่นเอง ซึ่งถ้าจะให้ผมอธิบายว่าทำไมมันถึงต้องเย็นขึ้นสมองด้วยหลักวิทยาศาสตร์แล้วเนี่ย ก็คือมันเกิดจากการ ที่ความเย็น(เย็นจัด) ไปกระทบที่เพดานปากของเรา ซึ่งความเจ็บปวดที่เกิดจากความเย็นมาโดนทำให้หลอดเลือดหดตัวและเกิดอาการบวมอย่างรวดเร็ว แล้วเส้นประสาทแถวนั้นมันก็ส่งสัญญาณความเจ็บปวดที่ว่านี้ขึ้นไปยังสมองของเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ามันเย็นมากซะจนขึ้นสมองนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะกินไอติมก็ต้องเป่าให้มันให้เย็นก่อนนะครับ หรือว่าจะเอาไปตากแดดให้มันอุ่นขึ้นซักหน่อยก่อนกินก็ได้นะครับ จะได้ไม่ Brain freeze >_< (บ้าเรอะ!...ถ้าจะทำอย่างงั้นก็ไม่ต้องกินเลยยังจะดีกว่า)

ตัวอย่างการใช้   

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เรากินไอติมแล้วมันเย็นจี๊ดขึ้นสมองเราสามารถอุทานออกมาว่า 
"Damn brain freeze"
= เย็นจี๊ดขึ้นสมองแล้วเว้ยย

I always get brain freeze, when I eat ice cream.
= ฉันนั้นปวดหัวจี๊ดอยู่เป็นประจำเมื่อตอนที่ฉันกินไอศครีม

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

cram for a test เป็นกันบ่อยช่วงก่อนสอบ

พูดถึงเรื่อง"การสอบ"ทีไรแล้วเนี่ยก็จะมีคนอยู่สามประเภท คือ 1.พวกที่บ้าพลัง ประมาณว่า "ข้าจะต้องเอาคะแนนเต็มให้ได้" 2.พวกที่มักน้อย เช่น  "โอยย สอบอีกแล้วหรอเนี่ย! หนังสือหนังหาอ่านแค่นิดเดียวเอง ครั้งนี้ค่อแค่ผ่านก็พอละกัน คงไม่น่าเกียจจนเกินไป" และ 3. พวก..ฉันไม่แคร์ เช่น "อะไรนะ! มีสอบหรอเนี่ย... ช่างเถอะ สอบตกช่างมัน ค่อยแก้เอาทีหลัง รีบกาข้อสอบให้มันเสร็จๆแล้วไปดูหนัง เล่นเกมส์ กันเถอะ (>_<)" อ่านมาถึงนี่ก็คงจะรู้แล้วนะครับว่าคุณคือมนุษย์ประเภทไหน 555+ แต่ไม่สำคัญหรอกครับว่าเราจัดอยู่ในประเภทไหน ขอแค่เป็นคนหน้าตาดี...เอ้ยย! คนดีก็พอแล้ว ^_^ สำหรับวันนี้ผมก็มีประโยคเกี่ยวกับการทดสอบหรือ Test มาแนะนำทุกคนกันครับ นั่นคือ


"cram for a test"

ประโยคนี้แปลว่า "การเร่งอ่านหนังสืออย่างหนักก่อนสอบ" ซึ่งเรามักใช้กับสถานการณ์ที่ "การสอบใกล้จะเข้ามาถึงแล้ว แต่พึ่งจะเริ่มอ่านหนังสือ เลยต้องอ่านอย่างหนัก ก่อนเวลาสอบเพียงไม่กี่วัน" ซึ่ง cram แปลว่า อัด, ยัดเยียด และคำนี้ยังสามารถแปลว่า กวดวิชา ได้อีกด้วย เช่น a craming school แปลว่า โรงเรียนกวดวิชา นั่นเอง 

ตัวอย่างการใช้ประโยค

 The test will be started tomorrow, but John hasn't study yet. So he has to go cram for a test now. If he studied since last week, he would not have to cram.


=  การสอบจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่จอห์นยังไม่ได้อ่านหนังสือสอบเลย ดังนั้นเค้าเลยต้องรีบอ่านหนังสืออย่างหนักทันที ถ้าเค้าอ่านหนังสือสอบตั้งแต่เมื่อวานนี้ เค้าคงไม่ต้องมาเร่งแบบนี้หรอก

 

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

not have a snowball's chance in hell เมื่อก้อนหิมะอยู่ในนรก!

ช่วงนี้แถวบ้านเราคงจะมีอากาศที่ร้อนขึ้นนะครับ แต่ช่วงนี้ทางฝั่งตะวันตกอย่างเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มีอุณหภูมิ ที่ต่ำลงอย่างมาก สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าหนาวสุดขั้ว (บางทีอาจจะหนาวกว่าขั้วโลกซะด้วยซ้ำ >_<) เนื่องจากแถวนั้นได้รับผลกระทบจาก Polar vortex หรือ ภาวะกระแสลมหนาวสุดขั้ว ซึ่งมันเกิดจากพายุลมหมุนวน ด้วยความเร็วสูงแถวบริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งมักจะมีกำลังแรงมากในฤดูหนาว ซึ่งแน่นอนครับเมื่อมันพัดผ่านเข้ามาที่สหรัฐอเมริกาและแคนาดาแล้ว จะทำให้เกิดสภาวะอากาศหนาว(โคตรๆ) ซึ่งมีอุณภูมิต่ำสุดถึง -30 C เลยทีเดียว (ย้ำ...ติดลบนะครับ!) ขนาดแค่ในประเทศเราอุณหภูมิแค่ 10-15 C ก็พากันบ่นว่าหนาวจะตายอยู่แล้วครับ ต้องนอนขดอยู่ในผ้าห่มไม่ยอมออกไปข้างนอกบ้านเลยทีเดียว (ผมรู้นะว่าหลายคนก็ชอบทำกัน อิอิ) เอาล่ะครับหลายคนหลังจากอ่านมาถึงนี่แล้วคงจะสัมผัสได้ถึงความหนาวสุดขั้ว แต่สำนวนวันนี้ที่ผมจะนำเสนอนั่นมันตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงครับ 555+ ซึ่งวันนี้ผมขอนำเสนอประโยคที่ว่า


Not have a snowball's chance in hell

ซึ่งถ้าแปลตรงๆจะแปลได้ว่า ไม่มีโอกาสสำหรับก้อนหิมะเมื่ออยู่ในขุมนรก ก็ลองนึกภาพตามนะครับก้อนหิมะเนี่ยถ้าอยู่ดีๆก็มาอยู่ในขุมนรก (อย่าแปลกใจนะครับ...ฝรั่งเค้าเปรียบเปรยให้เห็นภาพครับ) ก็คงจะละลายหายไปอย่างรวดเร็ว หมดโอกาสที่จะรอดแน่ๆ ซึ่งสำนวนนี้ก็เลยแปลสั้นๆง่ายๆเลยนะครับว่า "ไม่มีโอกาสโดยสิ้นเชิง" ประโยคนี้ใกล้เคียงกับคำว่า "Hell No!!" นั่นล่ะครับ (Hell ถ้าเอามาใช้เป็นคำขยายในประโยคมันจะเป็นคำที่ไม่ค่อยสุภาพนะครับ เรานำมาใช้ในประโยคเพื่อเน้นความหมายให้หนักแน่นขึ้น เช่น Where the hell am I = ฉันอยู่ที่ไหนวะเนี่ยย และ Hell No! = ไม่เว้ยย ไม่เด็ดขาดด.... เป็นต้น)

ตัวอย่างการใช้

Because Anna hasn't done what her father wanted her to do, so she hasn't a snowball's chance in hell of getting her new car.

= เพราะว่าแอนนาไม่ได้ทำสิ่งที่พ่อของเธอต้องการให้เธอทำ ดังนั้นเธอจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รถคันใหม่อย่างแน่นอน (ไปขัดใจพ่อก็อย่างงี้ล่ะ จำไว้เป็นบทเรียนซะนะ >_<)

ทิ้งภาพบรรยากาศที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ครับ (หนาวจนกระทั่งเป็นดังที่เห็นในภาพนั่นล่ะครับ) 

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

Safe and sound แปลว่าอะไร

        ครั้งนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับเพลงอีกเช่นเคยนะครับ แหม...ก็ผมชอบฟังเพลงเป็นการส่วนตัวนิครับ อีกอย่างประโยคหรือสำนวนในเพลงก็ค่อนข้างจะเยอะอีกด้วย  ดังนั้นเราก็เลยสามารถเรียนภาษาอังกฤษพร้อมกับฟังเพลงไปด้วยกัน ทำให้เราไม่เบื่อง่ายและมีความสุขในการเรียนประโยคใหม่ไปพร้อมๆกันอีกด้วย...เจ๋งใช่ไหมล่ะคับ ^_^
        เพลงที่ผมจะนำเสนอนี้คือ เพลง Safe and sound ของวง Capital cities ซึ่งเป็นวงดนตรี สไตล์ อินดี้ป๊อบ โดยวงนี้เป็นวงสัญชาติอเมริกาจากเมือง Los Angeles รัฐ California มีนักร้อง 2 คน คือ Ryan Merchant และ Sebu Simonian ซึ่งเพลง Safe and sound นี้ได้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2011 แต่ต่อมาได้นำเพลงนี้มาทำ MV ใหม่ทั้งหมดในปี 2013 ซึ่งได้รับความนิยมใน youtube มากจากการที่มียอดผู้ชมปัจจุบันถึง 58 ล้านวิว ซึ่งเพลงนี้ยังได้ถูกนำไปใช้ในโฆษณาบริษัทเครือข่ายมือถือยักษ์ใหญ่อย่าง Vodafone (ที่เคยเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีม Manchester United โดยมีตราสัญลักษณ์ Vodafone ติดอยู่บนเสื้อของแมนยูนั่นเอง) เอาล่ะครับได้แนะนำวงดนตรีนี้ไปพอสมควรแล้ว ที่จริงมีเยอะกว่านี้นะครับประวัติของวงนี้แต่เดี๋ยวมันจะยาว 555+ มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับกับประโยคนี้


"Safe and sound"

         ประโยคนี้นะครับมองๆไปอาจจะงงๆนะครับว่าแปลว่าอะไร แต่ถ้าเราลองตัด sound ทิ้งไปเหลือแต่ safe ก็คงจะพอเดาออกนะครับว่าแปลว่า ปลอดภัย, ไม่ได้รับอันตราย ซึ่งนี่ล่ะครับคือความหมายที่แท้จริงของประโยค....อะไรน๊ะ!! แล้ว sound มันจะใส่ต่อท้ายมาทำไม? อันนี้ผมคิดว่ามันใส่มาให้ฟังดูคล้องจองและสละสลวยขึ้นน่ะครับ...

ตัวอย่างการใช้

I went to my mother's house in London last week, it was a rough trip, but we got there safe and sound.

= ฉันไปที่บ้านของแม่ฉันที่ลอนดอนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากมาก แต่พวกเราก็ไปถึงที่นั่น (ไฮโซจริงๆ บ้านแม่หล่อนอยู่ที่ลอนดอนเลยทีเดียว >_<)

สำหรับใครที่อยากฟังเพลง La La La ก็สามารถดูได้โดยคลิ๊กลิ้งค์ข้างล่างนี้เลยครับ... 


http://www.youtube.com/watch?v=47dtFZ8CFo8 


นี่คือรูปของนักร้องวง Capital cities ซึ่งมี 2 คนนะครับ


วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

Silver lining แปลว่าอะไร

มะกี้ผมพึ่งได้ฟัง เพลง La La La ของ Naughty Boy ซึ่งเป็นนามแฝงของศิลปินนักแต่งเพลงคนหนึ่งที่ชื่อว่า Shahid Khan ด้วยวัยของเขาเพียง 29 ปี แต่กลับสร้างสรรค์ผมงานเพลงชั้นเยี่ยมออกมามากมายอย่างเช่นเพลงนี้ La La La ซึ่งมีจำนวนยอดคนดูปัจจุบันใน Youtube มากกว่า 224 ล้านวิว! ซึ่งผมก็เผอิญคลิ๊กไปเข้าไปฟัง ซึ่งถือว่าเพลงนี้โดนใจผมมาก แต่ MV นั้นตอนแรกผมดูแล้วไม่เห็นเนื้อเรื่องจะเกี่ยวข้องกับเพลงเลย (-_-*) ซึ่งใน MV นั้นเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับตำนานของโบลิเวีย โดยมีเด็กชายหูหนวกคนหนึ่งที่หนีออกมาจากครอบครัวที่มีปัญหาและ ต่อมาก็รู้ตัวว่าตนเองมีความสามารถพิเศษในการรักษาคนที่ถูกคำสาปจากปิศาจ El Tio ด้วยเสียงกรีดร้อง และก็กำลังจะเดินทางไปปราบปิศาจในตำนานที่ว่านี้ในถ้ำแห่งหนึ่ง...(ผมย่อคร่าวๆเท่านี้พอ เดี๋ยวมันจะยาว..>_<)  เอาล่ะครับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่าเนื่องด้วยเพลงนี้ผมเลยเจอประโยคที่ว่า I can't find those silver linings. แล้ว silver lining มันแปลว่าอะไรน๊าา... มาดูกันเลยครับ

"silver lining"

ประโยคนี้สามารถนำมาใช้เป็นสำนวนได้ว่า Every cloud has a silver lining ซึ่งแปลว่า "ในเมฆที่มืดมนย่อมมีแสงสว่างแห่งความหวังอยู่เสมอ"เพราะฉะนั้น silver lining แปลว่า ความหวังหรือโอกาสในท่ามกลางสถานการณ์ที่ยุ่งยาก ซึ่งจากประโยคในเพลงทีบอกว่า I can't find those silver linings. จึงแปลว่า ฉันไม่เห็นโอกาสและความหวังเลย นั่นเองครับ

สำหรับใครที่อยากฟังเพลง La La La ก็สามารถดูได้โดยคลิ๊กลิ้งค์ข้างล่างนี้เลยครับ...

นี่คือโฉมหน้าของผู้แต่งเพลงนี้ครับ Shahid Khan  

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

buy a pig in the poke ซื้อหมูในถุง..จริงหรือ?

สวัสดีครับครั้งนี้ระหว่างที่เขียนไปนั้นผมก็รู้สึกหิวข้าวขึ้นมาทันที เพราะผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย...กินแต่ข้าวร้อนๆ---จะบ้าเรอะ!! (>_<) พูดถึงเรื่องปากท้องขึ้นมาแล้วเนี่ยเนื้อที่เราบริโภคมากที่สุดก็คือ "หมู" นั่นเองง วันนี้ผมก็เลยมีสำนวนเกี่ยวกับหมูมาฝากทุกคนกันนะครับ นั่นคือ

"buy a pig in the poke"

พูดถึงการซื้อหมูแล้วเนี่ยนะครับ เราก็ต้องเลือกคัดสรรโดยดูจากสีของตัวหมู รูปร่างของตัวหมูว่าใหญ่ไหม เป็นพันธุ์อะไร เกิดที่ไหน อายุกี่ปี แม่ชื่ออะไร (เกินไปแล้วว - -*) ซึ่งเราก็ต้องเลือกดูเพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อ แต่ประโยคนี้อารมณ์ประมาณว่า...แค่เราแค่เห็นหน้าหมูโผล่ออกมาจากปากถุง (Poke ที่เป็นคำนาม แปลว่า กระสอบ หรือ ถุง) เราก็ซื้อเลยย (แหม่...เก่งเกินไปแล้ววแค่เห็นหน้าหมูก็รู้เลยว่ามันน่าซื้อไหม >_< ) ซึ่งประโยคนี้แปลว่า "ซื้อของโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบคุณภาพ" นั่นเองครับ 

ตัวอย่างการใช้

Whenever you want to buy the clothes. If you don't get a good look at the fabric condition of clothes, you'll end up buying a pig in a poke.

= เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องการซื้อเสื้อผ้า ถ้าคุณไม่ดูเนื้อผ้าดีๆก่อนซื้อ คุณจะลงเอยด้วยการซื้อของโดยที่ไม่รู้คุณภาพ (ซึ่งอาจได้ของห่วยนั่นเอง)  

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

from the old school มาจากโรงเรียนเก่าจริงหรอ!

เจอกันอีกแล้วนะครับครั้งนี้ก็ยังคงนำเสนอ สำนวนเกี่ยวกับโรงเรียนอีกเช่นเคยต่คราวนี้สำนวนเกี่ยวกับโรงเรียนที่ว่านี้จะเริ่มมีความคลาสสิคมากยิ่งขึ้น หรือ เก่ามากยิ่งขึ้นนั่นเอง (>_<) เรามาดูกันดีกว่าครับกับสำนวนนี้...

from the old school หรือ of the old school

ถ้าไปแปลตรงๆก็จะได้ว่า "มาจากโรงเรียนเก่า" ซึ่งก็ดูแปลกๆยังไงไม่รู้ใช่ไหมครับ ความหมายของสำนวนนี้ที่แท้จริงคือ "สิ่งที่เคยได้รับความนิยมในอดีต แต่ไม่นิยมในปัจจุบัน หรือ อะไรก็ตามที่มาจากยุคก่อนหน้านี้ (ยุคเก่าๆ)" ก็เหมือนกับบางสิ่งบางอย่างที่ได้มาจากโรงเรียนที่เก่าแก่ ล้าสมัยมานานแล้วนั่นล่ะครับ...แต่ก็ใช่ว่าล้าสมัยแล้วจะไม่ดีเสมอไปนะครับ มันก็มีเอกลักษณ์หรือคุณประโยชน์ในตัวมันอยู่ (^_^)

ตัวอย่างการใช้

Thai dance is not taught much now, but fortunately I know the teacher from the old school who can teach us about Thai Dance.

= รำไทยไม่ค่อยมีการเผยแพรในปัจจุบัน แต่โชคดีที่ฉันรู้จักครูเก่าแก่ที่สามารถสอนเราเกี่ยวกับรำไทยได้

Uncle Drew is from the old school. He likes to drive a carriage going to his office everyday.
=  ลุงดรูเป็นคนหัวโบราณ ลุงเค้าชอบขับรถม้าไปที่ออฟฟิศทุกวัน (อะไรจะคลาสสิคขนาดนั้น >_<)


 

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

cut class เชื่อว่าหลายคนเคยทำ

ครั้งนี้นะครับก็มาพบกับประโยคเด็ดเกี่ยวกับโรงเรียนนะครับ ตอนช่วงที่เราเป็นนักเรียนหลายคนคงจะชื่นชอบกับการไปโรงเรียนนะครับ :P สำหรับผมแล้วชอบไปโรงเรียนเพราะได้เจอเพื่อนเรานะครับ แต่ไม่ได้ชื่นชอบการเรียนสักเท่าไหร่ >_< เอาล่ะครับมาพบกับประโยคเกี่ยวกับโรงเรียนเลยนั่นคือ

cut class (หรือ cut school)

ประโยคนี้เอาใช้กับคนที่ชอบไม่เข้าชั้นเรียนนะครับ หรือที่เราชอบพูดว่า "โดดเรียน" นั่นเองง (-_-) แหม...โดดเรียนบ่อยก็ไม่ดีนะครับ ติด ร ติด มส. แล้วจะเสียใจเน้ออ 555+
มันมีความแตกต่างนิดหน่อยระหว่าง cut class กับ cut school นะครับ

cut class = โดดเรียนในคาบวิชา
cut school = โดดเรียนทั้งวัน หรือ ไม่มาโรงเรียนเลย

ตัวอย่างการใช้
Frank was punished by his father after he cut school Friday.
=  แฟรงค์ถูกลงโทษโดยพ่อของเค้าหลังจากที่เขาโดดเรียนวันศุกร์ทั้งวัน

All the students in 5/2 cut their math class and went to lunch yesterday.
=  นักเรียนทุกคนในชั้น 5/2 โดดเรียนในคาบวิชาคณิตศาสตร์เพื่อไปพักเที่ยงเมื่อวานนี้ (แหม...โดดเรียนทั้งห้องเลยวุ้ยย สงสัยครูคณิตคงจะสอนดีเกินไป เลยไม่อยากเรียนกันทั้งห้องเลย (-_-*)

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

Life of the party ปาร์ตี้นี้ขาดเค้าไม่ได้

สวัสดีครับทุกคน วันนี้ก็เป็นวันปีใหม่ของปี 2557 แล้วนะครับ เย้ เย้! สำหรับผมนั้นก็ได้ฉลองไปแล้วเมื่อวาน  ก็เลยเอาเวลาวันนี้ไปเตรียมตัวทำงานพรุ่งนี้ดีกว่า (แหม่...ฟังเป็นคนดีจริงๆ 555+) วันนี้ก็มีสำนวนเกี่ยวกับปาร์ตี้...อีกแล้วว มาแนะนำให้ทุกคนนะครับ เผื่อว่าใครยังจะมีปาร์ตี้วันนี้หรือในอนาคต(มีแน่ๆ) ก็สามารถเก็บเอาประโยคนี้ไปใช้ได้นะครับ นั่นก็คือ

Life of the party

ขึ้นชื่อว่า Life ก็ต้องเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยใช่ไหมครับ เป็นชีวิตจิตใจของสิ่งๆนั้นไปเลย...ใช่แล้วล่ะครับ ประโยคถ้าเราเอามาใช้กับคนจะแปลว่า คนที่เป็นสีสันของปาร์ตี้ อารมณ์แบบว่าเป็น "ทีเด็ด" ของงานปาร์ตี้เลยครับ ขาดไม่ได้เลยนะไม่งั้น งานคงหมดสนุกเป็นแน่แท้ ใครเคยเป็นบ้างครับอารมณ์แบบว่าดราจัดงานปาร์ตี้ ถ้าไอ้เพื่อนคนพิเศษนี้มางานเราแค่คนเดียวนะ...เพื่อนคนอื่นๆเรามันจะตามมาเป็นสิบเลย  เพราะฉะนั้นต้องเชิญไอ้คนนี้มาเป็นคนแรกๆเลย ถ้ามันไม่มาก็ต้องโทรตามจิก ตามง้อ อ้อนวอนขอให้มาให้ได้ >_< (ไม่มาเลิกคบนะเว้ยย...555+)

ตัวอย่างการใช้

Joe is always the life of the party. Be sure to invite him. The party won't be fun, if he doesn't come.

= โจเนี่ยเป็นสีสันต์ของปาร์ตี้ตลอดเลย อย่าลืมชวนมันด้วยล่ะ ปาร์ตี้จะไม่สนุกเลยนะถ้ามันไม่มาอะ (แหม่...เป็นคนสำคัญเหลือเกินนะพ่อคุณ อิจฉาจิงง >_<)