วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

Apple of one's eye คนนี้รักกที่สุดด

         ผมเชื่อว่าเราทุกคนย่อมมอบความเอาใจใส่หรือความห่วงใยให้กับคนอื่นๆไม่เท่ากัน บางทีเราให้ความใส่ใจและปฏิบัติกับคนๆนี้ดีกว่าคนอื่นๆ อย่างเช่นถ้าเรามีคนที่เรา "แอบชอบ" เราก็จะทุ่มเทให้กับเค้า คอยเอาใจใส่เค้าทุกๆเรื่อง ถึงขนาดยอมไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนเพื่อไปหาเค้าเลยทีเดียว ซึ่งอาจจะเรียกว่าลำเอียงก็คงจะไม่ผิดนะครับ ซึ่งวันนี้ผมก็มีสำนวนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก นั่นคือ

Apple of one's eye 

สำนวนนี้แปลว่า "คนหรือสิ่งที่เราชอบ เอ็นดู และรักมากจนเปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจ" ซึ่งเราจะใช้ประโยคนี้บอกดีกรีของความชอบและเอ็นดู (ขนาดนั้นเลย >_<) ต่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเค้าคนนั้นเปรียบเสือนบุคคลอันเป็นที่รักของเรานั่นเอง ถ้าขาดเค้าไปโลกคงแตกสลาย ฟ้าคงมืดหม่น น้ำคงท่วมโลก (เว่อร์ไปละ >_<)

ตัวอย่างการใช้

His new baby girl is the apple of his eye.
= ลูกสาวคนใหม่ของเขาคือแก้วตาดวงใจของเขา

Tom was Jim's first child and the apple of his eye.
= ทอมคือลูกคนแรกของจิมและยังเป็นแก้วตาดวงใจของจิมอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

building castles in the air เกี่ยวอะไรกับสร้างปราสาทเนี่ย

หลายคนคงเคยมีเพื่อนที่เข้าข่าย "ช่างฝัน" แต่ถ้ามากเกินไปจากมันจะกลายเป็น "เพ้อฝัน" ซึ่งวันนี้ผมก็มีสำนวนที่เหมาะกับนัก "เพ้อฝัน" นั่นก็คือ

building castles in the air

สำนวนนี้แปลว่า เพ้อฝัน หรือ คิดจะทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ซึ่งที่เราเรียกกันว่า "สร้างวิมานในอากาศ" นั่นเอง หลายคนได้ยินแล้วคงรู้จักทันทีว่าหมายความว่าอะไร ซึ่งในสำนวนนี้ castle แปลว่า ปราสาท นั่นเอง  แต่รู้ไหมครับถ้าคุณวางแผนและลงมือทำตามฝันที่คุณได้วาดไว้ แม้ว่าใครเค้าจะมองว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ขอแค่ให้เราเชื่อมั่นในฝันของตัวเอง สักวันนึงสิ่งนั้นมันจะไม่ใช่แค่ความ "เพ้อฝัน" อีกต่อไปครับ...

ตัวอย่างการใช้

I like to sit on the bench in the park in the evening, just building castles in the air.

= ฉันชอบที่จะนั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะในตอนเย็น เพียงเพื่อจะวาดฝันในอากาศ (นั่งเหม่อลอย กินบรรยากาศในสวนสาธารณะ แบบนี้ผมก็ชอบทำครับ ^_^)

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

crying over spilt milk เหตุเกิดเพราะนมหก

ครั้งนี้นะครับผมจะไม่พยายามเขียนให้มาก เอาเป็นว่าจะเขียนให้กระชับที่สุด เพื่อให้ทุกคนอ่านเข้าใจง่ายๆละกัน เมื่อพูดถึงเรื่อง "อดีตที่ผ่านไปแล้ว" ก็มีหลายคนที่พยายามจดจำแต่เรื่องราวที่ดีๆ แต่ก็มีหลายคนที่พยายามจดจำแต่เรื่องเลวร้าย ซึ่งเราจะมาพูดถึงอย่างหลังกัน กับสำนวนวันนี้

"crying over spilt milk"

นึกภาพถึงตอนที่เราทำนมหกจากแก้วดูสิครับ เพราะ split เป็นรูปอดีตของ spill แปลว่า ทำหก, ทำล้น เมื่อเราทำนมหกจากแก้วแล้ว เราก็คงหยิบมันขึ้นมาใส่แก้วเหมือนเดิมไม่ได้ แต่นี่จะมาร้องไห้เสียใจกับนมที่หกไปแล้วก็คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นมา 

สำนวนนี้จึงแปลว่า "การเสียใจให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หรือ สิ่งที่แก้ไขไม่ได้"

ตัวอย่างการใช้

I just broke up with my girlfeirnd. But I'm not going to cry over spilt milk.

= ผมพึ่งเลิกกับแฟนสาว แต่ผมจะไม่เสียใจให้กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้หรอกนะ 


What's done is done. I'm not going to cry over spilt milk.

= อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็แล้วไป ฉันจะไม่เสียใจให้กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้หรอกนะ


วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

จัดอันดับ 4 อันดับสื่อการเรียนภาษาอังกฤษ

      ก่อนอื่นต้องบอกเลยนะครับว่าผมได้ผ่านการเรียนมาด้วยตนเองหรือที่เรียกว่า self-studying มาหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวิธีการที่ผมเบื่อที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษคือ เรียนในหนังสือแบบเรียนภาษาอังกฤษ (textbook) ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับเรียนในหนังสือแบบนี้ แต่ก็อย่างว่าครับมันก็ง่วงนอนอยู่เหมือนกันถ้าอ่านไปนานๆ เพราะมันขาดซึ่งอารมณ์ สิ่งกระตุ้น ความตื่นเต้น มีแต่ทำแบบฝึกหัด ทำข้อสอบ ท่อง Grammar ซึ่งมันอาจใช้ได้ดีในการสอบแข่งขัน แต่ถ้านำมาประประยุกต์ใช้ในการใช้ในการพูดภาษาอังกฤษจริงๆแล้วเนี่ย แทบจะไม่เห็นผลลัพธ์ของมันเลย แล้วอะไรคือสื่อหรือรูปแบบการเรียนที่ดีที่สุดล่ะ? ผมบอกแน่นอนครับไม่งั้นผมจะเขียนบทความนี้ขึ้นมาทำไม (^_^) เอาล่ะครับเรามาดูการจัดอันดับ 4 สื่อการเรียนที่ดีที่สุด 



1. เรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง (Native speaker)

= นี่คือการเรียนที่ผมคิดว่าได้ผลดีที่สุดทั้งในระยะสั้น และ ระยะยาว ผมเคยมีอยู่ช่วงนึงได้ไปเรียนเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาเป็นเวลา 8 เดือน ซึ่งมันได้ช่วยให้ภาษาอังกฤษผมดีขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง จากแต่ก่อนที่แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย การเรียนกับเจ้าของภาษาเราจะได้การฟังที่ดีขึ้นมามากซึ่งมันเป็นจุดบอดของคนที่เอาแต่เรียนในตำรา หรือ หนังสือ อย่างเดียว การเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรงคุณจะดูดซับเอาสำเนียงเขา (อาจจะไม่มากถ้าเรียนในระยะเวลาสั้นเกินไป) และคุณจะพูดได้เร็วขึ้นโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดเรียงประโยคในหัวสมอง (เป็นกันแทบจะทุกคน)  ซึ่งจะช่วยได้มากในการพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณ เมื่อคุณคุ้นเคยกับการฟัง การพูด เป็นภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนของคุณจะมีความสนุกมากยิ่งขึ้น และพัฒนาไปได้ไวกว่าเดิม ถ้าคุณได้เรียนกับเข้าของภาษาเป็นระยะเวลานานพอที่จะดูดซับสำเนียงเขาไว้ได้ทั้งหมด (2-4 ปี) เวลาคุณอ่านหนังสือภาษาอังกฤษคุณจะไม่ได้อ่านในใจแบบสำเนียงภาษาไทย คุณจะอ่านในใจแบบสำเนียงภาษาอังกฤษ ซึ่งดูดีกว่ากันมาก...

ข้อดี เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ได้ทั้งสำเนียงการพูดและการฟัง (ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเรียนภาษา) ได้เรียนคำศัพท์ที่เจ้าของภาษาใช้บ่อยๆในชีวิตประจำวัน (ไม่ใช่ศัพท์ที่ยากๆเว่อร์ๆแต่แทบจะไม่ได้ใช้พูดหรือเขียนในชีวิตประจำวันเลย)

ข้อเสีย มีราคาแพง ถ้าเป็นผู้เรียนระดับเริ่มต้นอาจจะต้องอดทนหน่อยในช่วงแรกที่เรียน เพราะอาจจะตามไม่ทัน และฟังยังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้เริ่มต้นจะต้องเรียนเป็นระยะเวลานานพอ ที่จะเห็นผลลัพธ์
 



2. เรียนผ่าน Audio หรือ เทปบันทึกเสียง

= นี่เป็นอีกวิธีการนึงซึ่งได้ผลดีมากรองลงมาจากการเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง ซึ่งในประเทศไทยเราอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสแบบนั้น และถ้าจะจ้างเจ้าของภาษามาสอนก็จะมีราคาที่สูง (ขั้นต่ำ ชั่วโมงละ 300 บาท ขึ้นไป) การเรียนผ่าน Audio ที่ได้ผลจะต้อง เลือกใช้ Audio ที่มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับระดับภาษาของเรา การเรียนแบบนี้ข้อดีคือ สะดวกสบาย เรียนที่ไหนก็ได้ และที่สำคัญ คุณสามารถเปิด Audio กลับไปกลับมาหลายๆรอบจน สำเนียงของเจ้าของภาษาฝังลึกเข้าไปในหัวสมอง จนเวลาคุณพูดมันเหมือนไหลออกมาจากปากของคุณ ทำให้คุณพูดโต้ตอบภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและมีสำเนียงที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งการเรียนผ่าน Audio นั้นถือว่าได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

ข้อดี ราคาถูก หาซื้อได้ง่าย เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา แม้แต่กระทั่งตอนอาบน้ำหรือตอนนอน ได้ผลดีมาก รองลงมาจากเรียนกับเจ้าของภาษา


ข้อเสีย ต้องวางแผนการเรียนดีๆ เพราะมันจะเกิดอาการ "ผัดวันประกันพรุ่ง" เนื่องจากเราเป็นคนกำหนดเวลาเรียนเอง และ Audio มันตอบคำถามเราไม่ได้ เวลาเราฟังคำไหนไม่รู้เรื่องเราบอกให้มันพูดช้าๆไม่ได้(ได้แค่ฟังซ้ำ) และเมื่อมีคำถามเราก็ต้องค้นหาด้วยตัวเอง




3. การดูหนังฝรั่ง(พร้อมซับไตเติ้ล)

= นี่ก็เป็นอีกวิธีนึงที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง(ในหนัง) ซึ่งการที่จะใช้วิธีนี้ได้ผลนั้นคุณต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษพอสมควร ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่เรียนด้วย Audio มาเป็นระยะเวลานานพอสมควร แล้วเกิดอาการเบื่อขึ้นมาอยากจะมาลองของใหม่ >_< ซึ่งการดูหนังฝรั่งพร้อมซับไตเติ้ลนั้นควรดูอย่างถูกวิธีไม่ใช่เปิดดูหนังแล้วเอาแต่อ่านแต่ซับไตเติ้ล ถ้าเป็นอย่างงั้นจะทำให้เราพลาดฉากสำคัญ หรือรายละเอียดเล็กๆน้อย ซึ่งอาจจะเป็นจุดสำคัญในการเข้าใจเนื้อเรื่องและตัวละครว่าต้องการจะสื่ออะไร ซึ่งผมจะบอกวิธีการดูหนังฝรั่งและการเปิดซับไตเติ้ลอย่างถูกวิธีในหนังสือ "The enjoyable way to learn English" ซึ่งการหาหนังฝรั่งที่มีซับไตเติ้ลไทยนั้นบางทีอาจได้หนังที่ไม่ถูกใจเราและหนังมีให้เลือกจำกัด

ข้อดี ทำให้การเรียนภาษามีความสนุกมากยิ่งขึ้นจากการดูหนัง สามารถได้ยินสำเนียงเจ้าของภาษา และยังสามารถซึมซับประเพณีและวัฒนธรรมของชาวต่างชาติ ผ่านทางหนังที่เราดู


ข้อเสีย การหาหนังฝรั่งที่มีซับไตเติ้ลไทยนั้นบางทีอาจได้หนังที่ไม่ถูกใจเราและหนังมีให้เลือกจำกัด แต่ถ้าเรามีทักษะในภาษาระดับนึงซึ่งสามารถอ่านและแปลความหมายจากภาษาอังกฤษได้ เราจะสามารถเลือกชมหนังได้หลากหลายขึ้นด้วยการหาหนังที่มีซับภาษาอังกฤษ (ซึ่งหาได้ง่ายและมีเยอะกว่าหนังที่เป็นซับไทย)



4. เรียนในหนังสือแบบเรียน (textbook)

= ถ้าคุณวางแผนว่าจะเรียนภาษาอังกฤษเพื่อจะได้ใช้อย่างคล่องแคล่ว แต่คุณดันมาเรียนใน textbook ท่อง Grammar ท่องศัพท์ ทุกวัน ผมว่าคุณเลือกทางที่ผิดแล้วล่ะครับ Step การเรียนภาษามันแบ่งได้ดังนี้คือ 1.ฟัง 2.พูด 3.อ่าน 4.เขียน การที่คุณมาเรียนจากหลังไปหน้าก่อนนี่มันไม่ผิดหรอกนะครับ แต่เวลาคุณไปเรียนฟังกับพูดมันจะเรียนยากเอาน่ะสิครับ จริงอยู่ครับอันนั้นมันจำเป็นในการทำข้อสอบ แต่ถ้าคุณรักภาษาอังกฤษและต้องการที่จะคล่องแคล่วในภาษาอังกฤษจริงๆคุณต้องฝึก "ฟัง" ให้มากๆเสียก่อนครับ text book มันก็แค่ "เพื่อนพระเอก" ในการที่จะทำให้ภาษาอังกฤษเราสมบูรณ์ มีงานวิจัยบางชิ้นทำสรุปออกมาว่า คุณที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยการใช้วิธีการในข้อ 1. และข้อ 2. ทำข้อสอบ TOEIC และ TOFEL ได้ดีกว่าคนที่เอาแต่ท่องศัพท์ จำแกรมม่า ใน textbook อีกนะครับ

ข้อดี  เหมาะกับการอ่านเตรียมสอบในระยะเวลาสั้นๆ และเสริมหลักไวยากรณ์ ราคาถูก หาได้ง่ายตามท้องตลาด 


ข้อเสีย เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ค่อยน่าสนใจ ทำให้เบื่อง่าย ได้ผลไม่ค่อยดีกับการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

            สุดท้ายแล้วเราไม่ต้องเลือกเรียนเจาะจงเฉพาะอย่างใดอย่างนึง เราสามารถเรียนหลายๆวิธีร่วมกัน ซึ่งมันยิ่งจะทำให้การเรียนภาษาอังกฤษของเรานั้นไม่น่าเบื่อ มีความหลากหลาย และได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก ก่อนจบบทความนี้ผมขอฝากไว้ว่า การเรียนภาษาอังกฤษนั้น มันต้องใช้เวลา อย่าใจร้อน อย่าอารมณ์เสีย และท้อแท้ ถ้าภาษาอังกฤษเราไม่พัฒนาเท่าที่ควร บางทีเราอาจจะเลือกวิธีเรียนที่ผิดวิธี ซึ่งทำให้การเรียนภาษาอังกฤษนั้นน่าเบื่อ หรือ เราอาจจะขาดความกระตือรือร้นที่มากพอในการเรียนภาษาอังกฤษ เราจึงต้องค่อยๆหาจุดบกพร่องและแก้ไขไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะพูดกันมากขึ้นในหนังสือ "The enjoyable way to learn English" ซึ่งจะเปิดตัวในเว็บไซต์เร็วๆนี้

blind faith ไม่ลืมหูลืมตา

เคยไหมครับ เมื่อเรา "ชอบ" และ "ศรัทธา" ในตัวใครมากๆ เราก็แทบจะเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูด ถึงแม้ว่าจะมีคนมาพูดว่าเขาไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ซึ่งถึงแม้เขาอาจจะเป็นผู้หวังดีมาบอกความจริง แต่ขอแค่เพียงคนที่เราศรัทธา เอ่ยปากแก้ตัวขึ้นมาเราก็ปักหลักเชื่ออย่างหมดใจ เชื่อจนกระทั่งความจริงที่มันประจักษ์อยู่ตรงหน้าแต่เราก็ยังไม่เห็น...วันนี้ผมจะมาเสนอประโยคที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นก็คือ


"blind faith"

ประโยคนี้นะครับ แปลว่า "การเชื่อบางสิ่งอย่างลืมหูลืมตา เชื่อโดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน" ซึ่งเอาไว้ใช้กับหลากหลายสถานการณ์ เช่น นายทิมนั้นเชื่อเกี่ยวกับหมอดูอย่างไม่ลืมหูลืมตา Tim has blind faith in prophet. ซึ่ง Prophet เป็นคำนาม แปลว่า หมอดู และ Faith เป็นคำนาม แปลว่า ความเชื่อ ความศรัทธา

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

Tom has blind faith in aliens. He doesn't care if there is any physical evidence or not.

= ทอมนั้นมีความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาเกี่ยวกับเอเลี่ยน เขาไม่สนใจว่ามันจะมีหลักฐานทางกายภาพหรือไม่ก็ตาม (ก็เค้าจะเชื่อง่ะ มีหรือไม่มีหลักฐานเค้าก็จะเชื่อ >_<)


วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

wolf in disguise หมาป่าเจ้าเล่ห์

ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งมี "หมาป่า" ที่เจ้าเล่ห์อยู่ตัวนึงซึ่งหิวโหยจากการที่ต้องเดินทางข้ามภูเขามายังแหล่งน้ำ แล้วได้บังเอิญมาเจอกับ "กระต่าย" ตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยูใกล้แหล่งน้ำ ทันใดนั้นด้วยความเจ้าเล่ห์ของหมาป่ามันจึงคิดถึงแผนการที่จะจับกระต่ายกินเป็นอาหาร และในหัวของมันกำลังคิดว่า "เราจะหลอกล่อเจ้ากระต่ายตัวนี้ยังไงดีนะ"... ที่เล่ามาทั้งหมดเนี่ยเพราะผมอยากนำเสนอสำนวนซึ่งมี "หมาป่า" อยู่ในประโยคด้วย นั่นก็คือ

 wolf in disguise 

คำว่า disguise หมายถึง ปลอมแปลง ปิดบัง ซึ่งเมื่อมาอยู่หลัง wolf ที่แปลว่า หมาป่า จึงให้ความหมายคร่าวๆว่า การปลอมแปลง/ปิดบังของหมาป่า ซึ่งถ้าเอามาใช้กับคนเราในชีวิตประจำวัน ประโยคนี้จะแปลว่า "เจ้าเล่ห์" หรือ "หน้าไหว้หลังหลอก" อารมณ์ประมาณว่า ต่อหน้าเรานั้นทำดี แต่เบื้องหลังนั้นแอบแฝงไปด้วยอันตราย

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

My neighbour is a wolf in disguise. He helped me cleaning my room, but he also stole the money in there.
= เพื่อนบ้านของฉันนั้นมันเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เขาช่วยฉันทำความสะอาดห้องของฉัน แต่เขากลับขโมยเงินในห้องของฉันไปซะงั้น

 

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

lose one's shirt ต้องเสียแม้กระทั่งเสื้อที่ใส่อยู่

เมื่อพูดถึงเครื่องแต่งกาย "เสื้อ" เนี่ยก็เหมือนสิ่งที่เราขาดไม่ได้ตอนออกไปข้างนอกนะครับ (แหม่...ใครล่ะจะไม่ใส่เสื้อตอนออกไปข้างนอก) วันนี้ผมก็จะมานำเสนอที่มี "เสื้อ" หรือ "shirt" มาเกี่ยวด้วย นั่นก็คือ

lose one's shirt

 กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...สมชายได้เดินทางไปยัง Las Vegas ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่นะครับถ้าไปที่นั่นแล้วไม่เข้า "คาสิโน" ก็เหมือนเราไปไม่ถึงที่นั่น ซึ่งก็ตามคาดครับสมชายได้เข้าไปยังคาสิโนแห่งหนึ่ง เพื่อเล่นการพนัน (คงไม่ได้เข้าบ่อนเพื่อไปเล่นเป่ากบหรอกนะ - -*) หลังจากสมชายเล่นพนันไปได้สักพัก เค้าก็เกิดเสียเงินติดต่อกันหลายๆครั้ง จนสมชายนั้นอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า "หมดตูด" ซึ่งประโยค lose one's shirt นี่ล่ะครับ แปลว่า to lose a lot of money or to lose all of one's assets หรือ การที่ใครสักคนเสียเงินเป็นจำนวนมาก หรือ เสียทรัพย์สินทั้งหมดที่เค้ามี... ซึ่งมันก็เป็นการเปรียบเทียบเหมือนกับว่า เขาเสียเงินจำนวนมากจนกระทั่งเขาแทบจะต้องเสียเสื้อที่เขาสวมใส่ไปด้วย นั่นเองครับ

ตัวอย่างการใช้ประโยชน์

I almost lost my shirt on that deal.
= ฉันเกือบจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก (หมดตูด) ไปกับการเดิมพันนั่น

หรือเราสามารถใช้ตอนที่เพื่อนเราขอยืมเงินแต่เราก็ไม่มีเหมือนกัน (ไม่อยากให้ยืม) เช่น

I can't loan you 100 bahts because I just lost my shirt on the soccer bet.
= ฉันไม่สามารถให้เธอยืมเงิน 100 บาทได้หรอกนะ  เพราะฉันก็เกือบจะหมดตูดกับการเดิมพันฟุตบอล (พนันบอลนั่นเอง